นายกสมาคมท่องเที่ยวโดยชุมชนอยุธยา บูรณาการนำร่องจัดกิจกรรมเที่ยวชุมชน ยลวัดงาม ตามรอยราชวงศ์ปราสาททอง เป็นการทอลองเส้นทางการท่องเที่ยวสู่ชุมชน

สมาคมท่องเที่ยวโดยชุมชนอยุธยา จับมือกับหมู่บ้านท่องเที่ยวโดยชุมชน เชิญคณะอาจารย์ มทร.สุวรรณภูมิฯ มรภ.อยุธยา  นักศึกษา  ภาควิชาการท่องเที่ยว  เครือข่ายกองทุนไฟฟ้า เครือข่ายสภาเกษตร นำร่องร่วมกิจกรรมเที่ยวชุมชน ยลวัดงาม ตามรอยราชวงศ์ปราสาททอง เป็นการทอลองเส้นทางการท่องเที่ยวสู่ชุมชน นำจุดเด่นที่คาดว่าเป็นที่น่าสนใจมาผสมผสานกับหมู่บ้านท่องเที่ยวโดยชุมชน พัฒนาด้านการท่องเที่ยวให้มีประสิทธิภาพสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

          วันที่ 8  กุมภาพันธ์  2567 พล.ต.โชติ  วายุบุตร นายกสมาคมท่องเที่ยวโดยชุมชนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา  เชิญคณะอาจารย์ มทร.สุวรรณภูมิฯ  อาจารย์  มรภ.อยุธยา  นักศึกษา  ภาควิชาการท่องเที่ยว  เครือข่ายกองทุนไฟฟ้า  เครือข่ายสภาเกษตร นำร่องร่วมกิจกรรมเที่ยวชุมชน ยลวัดงาม ตามรอยราชวงศ์ปราสาททอง เป็นการทอลองเส้นทางการท่องเที่ยวสู่ชุมชน  นำจุดเด่นที่คาดว่าเป็นที่น่าสนใจ มาผสมผสานกับหมู่บ้านท่องเที่ยวโดยชุมชน พัฒนาด้านการท่องเที่ยวให้มีประสิทธิภาพสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

          เสธ.โชติฯ  นายกสมาคมท่องเที่ยวฯ  กล่าวว่า  จุดเริ่มต้นที่หมู่บ้านท่องเที่ยวโดยชุมชนเกาะเรียน ที่มีตำนานในเรื่องของหวานตระกูลทอง ของท้าวทองกีบม้า โดยมี ผู้ใหญ่บ้านวิภารัตน์ฯ เป็นประธานหมู่บ้านท่องเที่ยวโดยชุมชนเกาะเรียน มาให้การต้อนรับ  มีการจัดอาหารตระกูลทอง พร้อมน้ำสมุนไพร มาเสิร์ฟรับคณะแบบน่ารัก ด้วยชะลอมจากไม้ดูเก๋ไก๋ และพูดถึงความเป็นมาของอาหารตระกูลทอง  ที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ  ต้องขอชมเชยหมู่บ้านท่องเที่ยวโดยชุมชนเกาะเรียน ที่ให้การต้อนรับคณะอย่างดียิ่ง และได้รับความอร่อยและความรู้คู่กันเลย โดยเฉพาะประธานฯ ที่แสดงออกถึงความเป็นกูรูด้านอาหารตระกูลทอง ชื่นชมด้วยไมตรีจิตต์

          จากนั้นนำคณะเดินทางสู่วัดชุมพลนิกายาราม ต.บ้านเลน อ.บางปะอิน เพื่อตามรอยราชวงศ์ปราสาททอง  ตามตำนานของชุมชนที่สืบทอดกันมา  คณะเดินทางมาด้วยกัน 16 ท่าน เมื่อมาถึงวัดชุมพลนิกายาราม  ซึ่งได้รับการต้อนรับ จากสาวสวยชุมชนบ้านเลน โดยการนำของ คุณอรพีฯ (คุณเปิ้ลฯ) มาเป็นผู้บรรยายถ่ายทอดให้ความรู้ ในตำนานการพระราชสมภพของพระเจ้าปราสาททอง ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ปราสาททอง  สถานที่แห่งแรก  ที่เราเข้าชมคืออุโบสถของวัดชุมพลนิกายาราม

          ผู้บรรยายเล่าว่า เป็นบริเวณบ้านของนางอิน ซึ่งเป็นพระมารดา  ของพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งต่อมาภายหลังพระเจ้าปราสาททอง  ได้ขึ้นครองราชย์บนบัลลังก์กรุงศรีอยุธยา พระองค์ได้กับมาสร้างวัด ณ สถานที่แห่งนี้  ซึ่งในอดีตก็เป็นสถานที่พระองค์  ได้ใช้สถานที่นี้ฝึกฝนไพร่พลของพระองค์  จึงมีชื่อว่าวัดชุมพล  ในพระอุโบสถนั้นสวยงามมาก เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธเจ้า เจ็ดพระองค์ ผู้บรรยายคนสวยบอกว่า หนึ่งในเจ็ดองค์ คือ พระพุทธโคดมพระพุทธเจ้าของเรานั้นเอง

          หลังจากได้รับความรู้ถึงถิ่นเกิดของพระเจ้าปราสาททอง ที่ไม่เคยได้รู้จากที่ไหนมาก่อน เราก็เดินทางสู่วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 นาที่  รถยนต์ของคณะก็มาจอด  ที่บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา  หน้าที่ว่าการอำเภอบางปะอินหลังเก่า  พอลงจากรถ โอ้สวรรค์อากาศดีมาก  พวกเราสูดลมหายใจเต็มปอดอากาศริมเจ้าพระยามหานที แห่งอโยธยา  การเดินทางเข้าไปชมวัดนิเวศน์ธรรมประวัติ ต้องเดินทางข้ามคลองด้วยกระเช้าไฟฟ้า รู้สึกตื่นเต้น ตื่นตา ตื่นใจ พร้อมกับการสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดแบบเต็มอิ่ม

          เมื่อข้ามมาถึงวัดนิเวศน์ธรรมประวัติ  ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะบางปะอิน คุณเปิ้ลฯ ผู้บรรยายบอกว่า  ในอดีตวัดนี้สร้างไว้สำหรับให้ เจ้านายที่เป็นเชื้อพระวงศ์มาเป็นที่พักผ่อน ซึ่งเจ้าฟ้าวชิรุณหิศสยามมกุฎราชกุมาร พระองค์แรกของสยาม ก็เคยมาประทับที่นี้ ไม่ธรรมดาเลยครับ และสิ่งที่คณะเราตั้งใจมาเคารพ และอยากเห็นก็อยู่บริเวณท้ายเกาะนี้ อนุสาวรีย์กำนันคนแรกของประเทศไทยครับ  อ่านป้ายแล้ว ชื่อนามสกุลคุ้นมากเลยครับ พระยารัตนกุลอดุลภักดี ท่านน่าจะเป็นต้นสกุลรัตนกุล ในยุคต่อมาก็มีทายาท มีชื่อเสียงหลายท่าน

          ผู้บรรยายเล่าให้ฟังว่า  การเริ่มสมัยการปกครองแบบอารยธรรมตะวันตกนั้นมาเริ่มที่บางปะอิน โดยเสด็จพ่อหลวง  รัชกาลที่ 5  ทรงมีพระดำริ ณ ราชวังบางปะอิน โดยเฉพาะแบบการปกครองอย่างตะวันตก  ก็มาริเริ่มที่นี่ จึงมีกำนันคนแรกที่บางปะอิน แม้กระทั้งการเลิกทาสที่คล้ายอเมริกาแต่ไม่เหมือนกัน อเมริกาเริ่มจากล่างสู่บน จึงเสียเลือดเนื้อมาก แต่เราเริ่มจากบนสู่ล่าง ไม่เสียเลือดสักหยดเดียว

          จากวัดนิเวศน์   เราข้ามกระเช้ามาฝั่งอำเภอบางปะอินเก่า  คณะได้รับเกียรติจาก นายมนตรี  ยมนา  นายกเทศมนตรี  อนุญาตให้เข้าชมอาคารรักษ์บางปะอิน  โดยมีเจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลบางปะอิน มาให้การต้อนรับ  ต้องขอบคุณทางเทศบาลเป็นอย่างมากครับ  และหลังจากชมวิดีทัศน์ทำให้เราได้ทราบความสำคัญของพระราชวังบางปะอิน  หลายเรื่องเป็นที่ต้อนรับแขกสำคัญของราชวงศ์ เป็นสถานที่จัดงานอภิเษกสมรสของ รัชกาลที่ 7  และอีกหลายโอกาสที่เกิดที่นี้ ถ้าไม่มากับคณะเที่ยวชุมชนคงไม่มีโอกาสรับทราบหลายเรื่องประวัติที่เป็นความหลังของบางปะอิน

          จากนั้น เราออกเดินทางมุงหน้าสู่หมู่บ้านท่องเที่ยวโดยชุมชนคลองโพธิ์  ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาที่เรามาถึงเรือนรักษ์คลองโพธิ์ หมู่บ้านท่องเที่ยวชุมชนเพื่อการอนุรักษ์สายน้ำ  เมื่อมาถึงได้รับการต้อนรับเจ้าของบ้านคนสวย “คุณเอ้ฯ”  ที่ให้การต้อนรับ  ด้วยชาสมุนไพรเกสรบัว และอาหารกินเล่นเมื่องกลีบบัว  ที่ปลูกอยู่บริเวณริมคลองหน้าเรือนรักษ์คลองโพธิ์ และอร่อยมื้อกลางวัน กับก๋วยเตี๋ยวเป็ดเห็ดตับเต่า  ตำนานแห่งความอร่อยของนายใช้  ตลาดน้ำบ้านสามง่าม เลยสวาปามเข้าไป 2  ชาม  และตามด้วยบวชละมุดร้อยปี  จากสวยละมุดบ้านลิเก ท่าตอมหาราชครับ  แล้วพักผ่อนนั่งสบายที่ริมคลอง มองเห็นบทกลอน สักวาคลองโพธิ์ ที่แต่งโดย “โชติ  วายุบุตร”  เลยรู้ว่าคลองโพธิ์ ผ่านบริเวณพื้นที่ 7 ตำบล ใครหนอมีเวลาว่างมาแต่งกลอนแปด สงสัยจัง

          หลังจากอิ่มมื้อกลางวัน  ถึงโปรแกรมเดินทางที่ตื่นเต้น  นั่งเรือท่องสายคลองโพธิ์  ไปชมค้างคาวแม่ไก่  เห็นเรือที่มาบริการเราไม่น่ากลัวเลยครับ  ลำเบอร์เร่อเลย น่าจะนั่งได้ถึง 20 คน  เราลงเรือไปด้วยกัน 16 คน  พนักงานสตาร์ทเครื่องเรือออกจากท่าเรือนรักษ์คลองโพธิ์  มุ่งหน้าสู่วัดขนอนใต้ และวัดขอนเหนือ  วัดพี่วัดน้องกัน ซึ่งอดีตเป็นด่านเก็บภาษีปากเรือสินค้าที่มาค้าขายกับกรุงศรีอยุธยา ในฤดูน้ำหลากเรือจะหลบมาใช้เส้นทางที่คลองโพธิ์

          หลังจากถึงวัดขนอนใต้  คณะเราเห็นค้างคาวแม่ไก่  เกาะอยู่ที่ต้นไทรใหญ่  ห้อยหัวลงเป็นหลายร้อยตัว เห็นผู้บรรยายบอกว่ามันอาศัยอยู่ที่นี้เป็นร้อยปีแล้วครับ  เป็นภาพที่น่าทึ่งมากไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย  นกมีหูหนูมีปีก เราขึ้นที่ท่าน้ำวัดขนอนใต้  เข้านมัสการหลวงพ่อขาว และรูปเหมือนหลวงปู่สาย  อดีตเจ้าอาวาสวัดขนอนใต้  ตามตำนานวัดนี้สร้างตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนกลาง  ในสมัยพระเอกาทศรถ  ส่งทหารเอกมาดูแลที่ด่านแห่งนี้  เพื่อเก็บภาษีปากเรือสำเภา

          หลังจากนั่งเรือชมคลอง มองสายน้ำก็ถึงเวลาเดินทาง สู่หมู่บ้านท่องเที่ยวชุมชนหนองปลิง  บ้านไบโอชีวภาพ  เราใช้เวลาการเดินทางประมาณ 30 นาที  ถึงหมู่บ้านหนองปลิง คุณเชิดศักดิ์  ไวยอาสา และคุณพี่ตู๋ฯ  มายืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มสยามคณะได้ชิมเครื่องดื่มสมุนไพร เกษตรชีวภาพ (ไบโอ)  หลากหลายชนิด  หลังจากหนังท้องตึง คณะได้ถ่ายรูปร่วมกัน แล้วก็ออกเดินทางสู่การตามรอยราชวงศ์ปราสาททอง  มุ่งหน้าสู่ปราสาทนครหลวง จุดหมายต่อไปที่วัดใหม่ประชุมพล

          นายบุญส่ง  กลิ่นสวาทหอม  นายกเทศมนตรี  มอบหมายให้ นายบัญฑิตย์  ศิริวรรณ  ท่านเลขาตี๋ฯ  มาให้การต้อนรับคณะด้วยความเป็นกันเอง  หลังจากแนะนำท่านเลขา พาเราเข้ากราบนมัสการ หลวงพ่อทรงธรรม ในโบสถ์ อายุ 400 กว่าปี  พร้อมบรรยายถึงพระเจ้าทรงธรรม  ว่าเป็นพระพุทธรูปที่พระเจ้าปราสาททอง  สร้างถวายแด่พระเจ้าทรงธรรม ในตอนที่เสด็จประพาสไปบูชารอยพระพุทธบาท  ที่สระบุรี และโบสถ์แห่งนี้น่าจะเป็นที่ประทับของพระเจ้าทรงธรรม  เมื่อครั้งประพาสไปบูชาวัดพระพุทธบาท  ผู้บรรยายได้บอกให้คณะตั้งจิตอธิษฐานขอพรหลวงพ่อทรงธรรม แต่อย่าบนบานสานกล่าว ก่อนจะได้ในสิ่งที่ขอ

          หลังจากนั้น คณะเราก็เดินทางสู่ที่หมายสุดท้าย ปราสาทนครหลวง สิ่งก่อสร้างสุดท้ายที่ปฐมราชวงศ์ปราสาททอง ได้สร้างก่อนสวรรคต บนเนื้อที่มากกว่า 60 ไร่  สิ่งแรกที่เราได้บูชา คือองค์พระพิฆเนศ  ประทับบนหัวกะโหลก เรียกว่า ปรางค์ชนะมาร  ซึ่งเสด็จพ่อ ร.5 ได้พระราชทานให้มาประดิษฐาน ณ สถานที่แห่งนี้ ผู้บรรยายบอกว่า  เป็นเทวรูปที่ประเทศอินโดนีเซีย  ถวายให้ ร.5  แนะนำถึงเคล็ดลับการขอพร  ถ้าอยากมีโชคลาภให้ได้สิ่งที่อยากได้ให้แตะที่ไหล่ซ้าย  บริเวณบ่วงเชือก ห้ามแตะที่บริเวณ ตรีสูจะมีแต่เรื่องก่อความรุนแรง หลายท่านได้ทำตามคำแนะนำก็หวังว่าคงจะได้สิ่งที่ตั้งใจปรารถนาทุกประการ

          ผู้บรรยายได้พาเข้าชมพระพุทธบาทจำลอง ในมณฑปที่สร้างขึ้น ในสมัยรัชกาลที่ 4 และพาไปชมสถานที่หนึ่งด้านหลังปราสาทนครหลวง ที่คนไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีความสำคัญ ผมไปชมมีความรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้มีความสำคัญมากในอดีต แม้กระทั่งจะเข้าไปยืนบริเวณนั้นก็ไม่กล้าครับ  เนื่องจากน่าจะเป็นสถานที่ยืนประทับขององค์ปฐมกษัตริย์  เพื่อให้เหล่าเสนาอามาตย์เข้าเฝ้าเสียดายไม่ได้ถ่ายรูป

          หลังจากนั้นคณะได้ไปเดินชมบริเวณระเบียงรอบปราสาท เพื่อเข้าไปนมัสการหลาวพ่อโปร่งฟ้า ที่เคยมีชาวต่างชาติมาถ่ายรูปเป็นที่โด่งดังไปทั่วโลก  ระหว่างเดินก็มีคำถามว่าทำไมมีแต่ฐานพระ  ไม่มีองค์พระได้รับคำตอบจาก ท่านเลขาฯ ว่าน่าจะถูกตัดไปในสมัยปัจจุบัน เพื่อนำไปแกะเป็นรูปพระใหม่ และนำไปจำหน่าย เนื่องจากเนื้อองค์พระนับมีความเก่าแก่มาก ต้องขอขอบคุณผู้ร่วมคณะ และต้องขอบคูณเป็นอย่างมาก  สำหรับผู้บรรยายทุกท่าน  ที่ให้ความรู้และขอบคุณหมู่บ้านท่องเที่ยวโดยชุมชน ที่มีส่วนร่วมกิจกรรมนี้เป็นจุดเริ่มต้น และทดลองเพื่อเก็บรวมรวมข้อมูลนำไปสู่การพัฒนาท่องเที่ยวโดยชุมชน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  “เสธ.โชติ  กล่าวสวัสดีครับ”